วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

การคุมกำเนิด

การคุมกำเนิดมีวิธีการอยู่หลายวิธีที่สามารถใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ สิ่งสำคัญคือต้องค้นหาวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด แพทย์ ผู้ให้คำแนะนำด้านสุขภาพ นางผดุงครรภ์และ
พยาบาลสามารถให้คำแนะนำด้านการคุมกำเนิดกับคุณได้ โดยทุกคนที่ทำงานในสำนักงานแพทย์ คลินิกบริการด้านสุขภาพของรัฐ หรือโรงพยาบาลมีหน้าที่ในการเก็บรักษาความลับ
1.ถุงยาง
2.ถุงยางอนามัยสตรี
3.ยาฆ่าอสุจิ
4.ยาคุมกำเนิดที่ไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน
5.ยาเม็ดคุมกำเนิด
6.แหวนใส่ช่องคลอด
7.แผ่นคุมกำเนิด
8.ยาคุมแบบโปรเจสโตเจนอย่างเดียว
9.ห่วงคุมกำเนิดประเภท Hormone coils
10.ยาฝังคุมกำเนิด
11.ห่วงคุมกำเนิดประเภท Copper coils
12.การทำหมัน
13.การคุมกำเนิดฉุกเฉิน
14.วิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือไม่ได้

ถุงยาง
ถุงยางคือปลอกยางเนื้อบางที่สามารถม้วนออกเพื่อครอบองคชาตขณะแข็งตัว ควรสวมถุงยางตลอดช่วงเวลาการร่วมเพศ ความน่าเชื่อถือของถุงยางจะมีมากขึ้น หากใช้ร่วมกับโฟมหรือครีมฆ่าเชื้ออสุจิ ถุงยางยังสามารถใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคเอดส์ ถุงยางมีจำหน่ายทั่วไป ทั้งในร้านอาหาร ร้านขายยา ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ ถุงยางมีความน่าเชื่อถือสูงหากใช้ได้ถูกต้อง

ถุงยางอนามัยสตรี
ถุงยางอนามัยสตรีคือปลอกยางที่มีความยืดหยุ่นสำหรับสอดเข้าในช่องคลอดของผู้หญิงเพื่อปกปิดปากมดลูก ถุงยางอนามัยสตรีมีจำหน่ายในขนาดต่าง ๆ โดยแพทย์จะต้องเป็นผู้สวมใส่ให้ ควรใช้ถุงยางอนามัยสตรีร่วมกับครีมฆ่าเชื้ออสุจิ ถุงยางอนามัยสตรีสามารถสวมใส่ในตอนใดก็ได้ก่อนการร่วมเพศและควรสวมทิ้งไว้เป็นเวลาอย่างน้อยหกชั่วโมงหลังการใส่ ผู้หญิงส่วนใหญ่สามารถใส่ถุงยางอนามัยสตรีได้ ถุงยางอนามัยสตรีและครีมฆ่าเชื้ออสุจิเป็นวิธีการในการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้หากสวมใส่ลงในช่องคลอดอย่างถูกต้อง

ยาฆ่าอสุจิ
ยาฆ่าอสุจิใช้ร่วมกับถุงยางอนามัยหรือถุงยางอนามัยสตรี ทั้งนี้ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับการคุมกำเนิดหากใช้เพียงอย่างเดียว ผลิตภัณฑ์นี้ทำขึ้นเป็นครีม โฟม เยลลี่หรือยาสอด ยาฆ่าเชื้ออสุจิสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาโดยไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ยาคุมกำเนิดที่ไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน
ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบไม่มีเอสโตรเจนมีอยู่เพียงประเภทเดียวในตลาดนอร์เวย์ ยาเม็ดนี้ป้องกันการตกไข่ของผู้หญิง(เมื่อมีการผลิตไข่) เพื่อให้ยาเกิดประสิทธิภาพ จะต้องใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน ยานี้ยังสามารถใช้กับหญิงให้นมบุตรได้ ยาตัวนี้มีความเชื่อถือได้ 100% หากใช้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์เพื่อหาซื้อยาเม็ดคุมกำเนิดแบบไม่มีเอสโตรเจน

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

โรคปลาหมอสี(Disease) มีอยู่ 2-3 ชนิดด้วยกันคือ

โรคจุดขาว พบในช่วงหน้าหนาว หรือช่วงที่ฝนตกหนักๆ และมีสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง อาการก็ คือซึมไม่กินอาหารและจะมีคล้ายๆฝึ่นสีขาวๆเกาะ ซึ่งสาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เกิดในน้ำและ ยารักษาโรคนี้ก็ใช้ฟาราโพกรีน รักษาซึ่งจะหาซื้อได้ตามร้านขายปลาทั่วไปใน
ยาตัวนี้ภายใน 24 ชม. ปลาจะมีอาการดีขึ้นและช่วง 48 ชม. ปลาก็จัหายเป็นปกติ การใช้ยาตัวนี้นั้น
เมื่อใช้ยาควรจะต้องปิดไฟตู้ทุกครั้งเพราะยาตัวนี้จะเสื่อมฤทธิ์เมื่อถูกแสง

โรคที่เกิดจากเชื้อรา ซึ่งสาเหตุมาจากปลากัดกันจนเป็นแผลโดยที่เจ้าของไม่ทันสังเกตุเห็นก็จะ
ทำให้เกิดเชื้อราที่มีอยู่ในน้ำนั้นอยู่แล้ว ยาที่ใช้ก็พวกยาเขียว เพราะสามารถกำจัดพวกเชื้อราทั้ง
หลายได้

โรคที่เกิดจากกระเพาะลำไส้อักเสบ เพราะกินอาหารที่มีเชื้อแบคทีเรีย อาหารที่ไม่สดจึงทำให้
ระบบการย่อย ผิดพลาดจนเกิดอาหารตกค้าง ซึ่งโรคนี้ถ้าเป็นมากก็จะรักษาไม่ได้นอกจากนี้
โรคอื่นๆก็ไม่ค่อยมี เนื่องจากปลาหมอสีเป็นปลาที่มีโรคน้อยมาก

1. โรคที่เกิดจากพยาธิภายนอก
โดยเฉพาะจากเชื้อโปรโตซัว เช่น เชื้อ Ichth-popht hirius multifilis ที่ทำให้เกิดโรคจุดขาว
เชื้อ Ocdinium ทำให้เกิดอาการมีเมือกตามตัวและเหงือก เชื้อ Trichodina หรือโรคที่เกิดจาก
เห็บระฆัง ซึ่งทำให้ปลามีอาการแสดงความรำคาญโดยการถูตัวกับตู้ปลาหรือซอกหิน จะมีเม็ดกลม
แบนเกาะติดอยู่ทั่วไป และบริเวณที่เห็บเกาะจะแดงช้ำโรคเห็บหนอนสมอโรคเมือกตามตัวและ
เหงือกอักเสบนอกจากนี้ยังเกิดจากพยาธิชนิดอื่นๆ เช่น โรคที่เกิดจากปลิงใส(Dactylogyrus
และ Cyrodaclrus) ทำให้ปลาหายใจลำบากต้องหายใจถี่สังเกตุบริเวณกระพุ้งแก้มเปิด
โรคจุดขาว โดยตามลำตัว และครีบของปลาจะมีจุดขาวเกาะอยู่ เกิดจากอุณหภูมิของน้ำเย็น

ในการตรวจรัักษาปลาควรนำปลาไปให้สัตว์แพทย์ตรวจดูก่อนเพื่อวินิจฉัยโรค ส่วนปลาที่ซื้อ
มาใหม่ ควรทำการกำจักพยาธิภายนอก โดยการใช้เกลือแกง 1 เปอร์เซ็น แช่นาน 12-24
ชัวโมง,ฟอร์มาลีนต่อความเข้มข้น 25 พีพีเอ็ม (25 c.c. ต่อน้ำ 100ลิตร) แช่นาน 24 ชม. หรือใช้เมททีลีน บลูในอัตรา 0.4-0.8 ซี.ซี. ต่อน้ำ 1 ลิตร แช่ไว้ 24 ชม. หรือแช่ น้ำที่มี
เกลือแกง เข้มข้น 1% แช่นาน 12-24 ชม. ในกรณีที่เกิดโรคจุดขาวซึ่งมักเกิดในฤดูหนาว
ฉะนั้นควรเพิ่มอุณหภูมิโดยใช้ Heater โดยใช้เพิ่มอุณหภูมิชั่วโมงละ 1 องศาเซลเซียส และ
ให้คงที่ที่ 30 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 10 วันจะสามารถรักษาโรคพยาธิดังกล่าวได้ ส่วนการ
ป้องกันก่อนที่จะนำปลาใหม่เข้า่ตู้ ควรนำปลากักโรคก่อน โดยใช้ยาข้างต้นแช่รวมกับอาหารสด
ที่จะนำมาให้ปลากิน

2. โรคที่เกิดจากเชื้อรา
เชื้อราที่พบได้บ่อย คือ Sapnolegnia ซึ่งจะพบเป็นขุยตามบริเวณขอบแผลหรือตามตัวรวมทั้งครีบ
เชื้อรานี้ส่วนใหญ่ เกิดมาจากการหมักหมมของเสียในตู้หรือบ่อ การเปลี่ยนถ่ายน้ำประจำจึงเป็นสิ่งที่
จำเป็นอย่างยิ่ง ในการจะฆ่าเชื้อโรคให้ใช้มาลาไคท์กรีนอัตราความเข้มข้น 0.1 มิลลิลิตร/ลิตร
แช่นาน 24 ชม. ก็จะช่วยลดปัญหาลงได้ ส่วนการป้องกันต้องดูแลสภาพในตู้ไม่ให้สกปรกหรือ
เกิดความหมักหมมของของเสีย และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ

3. โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
เชื้อชนิดนี้เป็นเชื้อสำคัญของการเกิดโรคและ " ทำให้ปลาตาย" คือ เชื้อแอร์โรโมแนส ไฮโดรฟิกล่า
บางครั้งอาจพบเชื้อ ไมโครแบคทีเรีย ทำให้เกิดโรคคล้ายวัณโรคในปลา เชื้อจะเพิ่มขึ้นๆอยู่กับ

- อุณหภูมิ (อุณหภูมิสูงเชื้อเติบโตดีกว่าอุณหภูมิต่ำ)
- ความเป็นกรดด่างของน้ำ (pH มากกว่า 7 เชื้อเติบโตได้ดีกว่าค่า pH ต่ำ)
โดยทั่วไปแล้วปลาหมอสีจะติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย เมื่อปลาอยู่ในสภาพเครียด เช่น
- คุณภาพน้ำไม่เหมาะสม
- ปริมาณปลาในตู้มากเกินไป

การรักษาควรทำอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นปลาแสดงอาการผิดปรกติ โดยการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไวต่อเชื้อ
ผสมอาหารให้ปลากิน การใช้ยาปฏิชีวนะที่ดีควรใช้ครั้งเดียวแล้วเลิก เมื่อเห็นปลามีอาการดีขึ้นแล้ว
เพราะ ถ้าใช้ต่อ อาจจะเกิดอาการดื้อยาได้ การรักษาโดยใช้ยาฟารากรีนผสมในน้ำแล้วปิดไฟตู้
(เพราะยามีปฏิกิริยากับแสงสว่าง และยาอาจจะเสื่อมสภาพได้ ถ้าหากถูกแสง) ทิ้งไว้ประมาณ
24-48 ชม. หรือนำปลาไปพบสัตว์แพทย์ตรวจก่อนการใช้ยาปฏิชีวนะ เนื่องจากยาปฏิชีวนะ
มีหลายชนิดและป้องกันการดื้อยา การให้ยาปฏิชีวนะทำได้โดยผสมกับอาหารให้ปลากินหรือใส่
ลงไปในน้ำ

ส่วนการป้องกันทำได้โดย:
- รักษาอุณหภูมิของน้ำให้คงที่ (เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิสูง)
- ความเป็นกรดด่างของน้ำ (ควรมีค่า pH ต่ำ)
- การให้อาหารโดยปริมาณที่พอเหมาะ
- ไม่ควรให้ปริมาณปลาในตู้มากจนเกินไป เพราะปลาจะกัดกัน และทำให้เกิดบาดแผลซึ่งเสี่ยง
ที่จะเกิดโรค

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

ออกแบบบ้านอย่างไร...อยู่แล้วมีความสุข

คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า “การตกแต่งภายใน” คือการพา Interior Designer (มัณฑนากร) มาเลือกซื้อของเข้าบ้าน จัดวางเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน หรือออกแบบเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน (Built in Furniture)
แต่จริงๆ แล้วการตกแต่งภายในมีความหมายครอบคลุมถึงการออกแบบและการตกแต่งบ้านที่ต้องคำนึงถึงฟังก์ชั่นและการใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัยว่า...ทำอย่างไรให้มีความสุขในบ้านหลังนี้?

โดยเน้นหลักของการจัดวางตำแหน่งพื้นที่ของห้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องรับแขก ห้องทานอาหาร ตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ การเลือกใช้สี การจัดแสงไฟ การเลือกใช้วัสดุปิดผิวต่างๆ รวมถึงการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ด้วย สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งช่วยให้บ้านของคุณมีความน่าอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น และเป็นสิ่งที่จะแสดงถึงสไตล์ หรือรสนิยมของเจ้าของบ้านนั่นเอง

เรามักจะได้พบได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ว่า บ้านที่ไม่ได้รับการออกแบบตกแต่งที่ถูกต้อง มักจะมีเหตุการณ์แปลกประหลาดอยู่ในบ้านนั้น เช่น พื้นที่ระหว่างเสาที่ไม่สามารถวางตู้ได้ ห้องครัวที่ยากต่อการใช้สอย แสงในห้องที่ไม่เพียงพอ โต๊ะกินข้าวที่สมาชิกในบ้านไม่สามารถนั่งพร้อมกันได้ หรือแม้กระทั่งห้องรับแขกที่เหมือนจะบอกแขกผู้มาเยือนว่าเมื่อไหร่จะกลับบ้านซักที เป็นต้น

“สิ่งเหล่านี้” มักจะเป็นสิ่งที่เราไม่เคยต้องการ แต่มันพาลจะเข้ามาอยู่ในบ้านกับเราซะงั้น!!!

แต่คุณไม่ต้องกังวลใจไป เพราะเมื่อคุณเลือกที่จะใช้มัณฑนากรมาเป็นผู้รังสรรค์ความคิดฝันในไอเดียของคุณให้กลายเป็นความจริง การออกแบบตกแต่งภายในก็จะสามารถปรับเปลี่ยนและจัดพื้นที่ บรรยากาศ ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของบ้านคุณได้อย่างสวยงามและลงตัว

อย่างเช่น ทิศทางของแสงแดด ทิศทางของลม การจัดบรรยากาศของห้องต่างๆ ให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของบ้านได้ นอกจากความสะดวกสบายแล้ว ยังต้องสวยงามผสมผสานกับศิลปะ ฟังก์ชั่นที่ดี ฟอร์มก็ต้องดีตามด้วยนะครับ

อย่างเรื่องการเลือกใช้วัสดุปิดผิวที่ในท้องตลาดมีมากมายหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็เหมาะกับงานในแต่ละสไตล์ เช่น กระเบื้อง ก็มีแบบหลายสิบแบบให้เลือกสรร ทั้งกระเบื้องธรรมชาติ กระเบื้องมัน กระเบื้องเงา กระเบื้องแกรนิตโต้ กระจกก็มีเป็นสิบๆ ชนิด ไม่ว่าจะเป็นกระจกลามิเนท กระจกฝ้า กระจกใส กระจกเงา กระจกลายผ้า

นี่ยังไม่นับวัสดุอีกเป็นหลายสิบชนิดเช่นกัน ซึ่งเราสามารถนำเอาวัสดุต่างๆ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ จัดให้สวยงาม เกิดเป็นรูปแบบที่ลงตัวและเกิดประโยชน์ด้วย อย่างห้องเล็กๆ อาจจะใช้กระจกเงาเข้ามาตกแต่งผนัง แล้วอาศัยแสงไฟช่วยซักเล็กน้อย ก็สามารถทำให้ห้องดูกว้าง น่าอยู่ เป็นต้น

ความหลากหลายของวัสดุ บวกกับความชอบของเจ้าของบ้านแบบใหม่ๆ (แถวบ้านเรียก “แนว”) จึงก่อให้เกิดรูปแบบสไตล์การออกแบบตกแต่งภายในที่หลากหลาย สไตล์ใคร สไตล์มัน เกิดเป็นความยูนีคขึ้น เป็นบ้านหลังเดียวในโลก ไม่มีใครเหมือน และไม่มีเหมือนใคร

สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ว่าหากวันนี้คุณกำลังจะเริ่มการออกแบบตกแต่งภายในของบ้านในฝันหรือเรือนหอรักของคุณกับใครสักคน การตกแต่งภายในนั้นจะทำให้ชีวิตของคุณมีความสุขกับบ้านแสนรักหลังนี้ได้ โดยมัณฑนากรจะขัดเกลาจากการนำเอาความคิด ความชอบ บวกลักษณะนิสัยส่วนตัวของเจ้าของบ้าน มาคลุกเคล้ากับศิลปะและทักษะของผู้ออกแบบเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งด้านประโยชน์ใช้สอยและความสวยงามในสไตล์ที่เป็นคุณนั่นเองครับ


แบ่งปัน 

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

3 ปัจจัยในการแต่งบ้านให้เป็นรีสอร์ท

การจัดสภาพแวดล้อมรอบๆ บ้าน ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตกแต่งบ้าน โดยเฉพาะบ้านที่อยู่ในเมืองใหญ่ห่างไกลจากธรรมชาติ หลักฮวงจุ้ยสอนว่า บ้านที่ดีอยู่แล้วสบาย จะ ต้องเป็นบ้านที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติ
ความหมายของคำว่า "ธรรมชาติ" ภาพที่นึกถึงก็คือ สภาพที่เป็นป่าเขาลำเนาไพร มีธารน้ำไหลรินให้ความรู้สึกที่เย็นสบาย ลักษณะธรรมชาติแบบนี้ไม่มีสิทธิ์หาได้ในเมือง ใหญ่ที่เต็มไปด้วยบ้านที่แออัดสร้างติดๆ กัน ประเภทหลังบ้านชนหลังบ้าน เพราะฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างสภาพแวดล้อมของธรรมชาติขึ้นมาเองภายในบ้าน

ปัจจุบันการตกแต่ง การจัดสวนภายในบ้าน จึงเข้ามามีบทบาทอย่างมาก เพราะคนเราเริ่มตระหนักแล้วว่า ธรรมชาติมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิต หลังจากที่ ธรรมชาติถูกทำลายไปจนเกือบจะเยียวยาไม่ได้อยู่แล้ว

"แต่งบ้านอย่างไร จึงจะสอดคล้องกับหลักของธรรมชาติล่ะ"

ถ้าจะพูดแบบเข้าใจง่ายๆ และเห็นภาพ ก็คือ แต่งบ้านให้เป็นรีสอร์ทไงครับ เคยสังเกตกันไหมครับว่า เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปพักที่รีสอร์ทสวยๆ เราจะรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ ได้เห็นสวนสวยๆ น้ำพุ น้ำตก หรือสระน้ำกว้างๆ ให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

"การทำบ้านให้เป็นรีสอร์ท คนในบ้านจะได้พักผ่อนได้ทุกวันใช่ไหมครับ"

ใช่แล้ว นั่นเป็นคอนเซ็ปท์ ในการแต่งบ้านล่ะ องค์ประกอบในการแต่งบ้านให้เป็นรีสอร์ทนั้น จะมีหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของบ้าน รูปแบบของสวน แต่ถ้ามอง กันที่ภาพรวม บ้านที่เป็นรีสอร์ทได้นั้น ก็คือ บ้านที่แวดล้อมไปด้วยสวน นั่นเอง

เมืองไทยเป็นเมืองร้อน การแต่งบ้านจึงเน้นไปที่ความเย็น การจัดสภาพแวดล้อมแบบรีสอร์ท ถือเป็นการตอบโจทย์นี้ได้อย่างตรงจุด สิ่งที่จะเอื้อประโยชน์ที่จะทำให้บ้านเย็น จะมีอยู่ 3 ปัจจัยใหญ่ๆ คือ ลม น้ำ และต้นไม้

ลม ทำให้อากาศมีการไหลเวียน ไล่กลิ่นอับที่อยู่ในบ้าน นอกจากนี้ยังนำอากาศบริสุทธิ์ (ออกซิเจน) จากต้นไม้ที่อยู่ใกล้มาให้คนรอบข้างอีกด้วย

น้ำ ให้ความเย็นสดชื่น น้ำที่เคลื่อนไหวจะให้ความรู้สึกที่มีชีวิตชีวา เบิกบานใจ เมื่อได้มองเห็น เสียงน้ำให้ความเพลิดเพลิน และผ่อนคลายยามได้ยิน

ต้นไม้ ให้ร่มเงาและปกป้องมลภาวะจากเสียง ฝุ่นละออง และฝน นอกจากนี้ยังให้ออกซิเจนที่บริสุทธิ์ ทำให้อากาศบริเวณนั้นดีกว่าบริเวณที่ไม่มีต้นไม้

เพราะฉะนั้น องค์ประกอบในการจัดสภาพแวดล้อมให้เป็นรีสอร์ท จึงต้องมีทั้ง 3 ปัจจัยนี้ ส่วนการจัดจะทำได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ของบ้านเป็นสำคัญ ประโยชน์ ของการทำบ้านให้เป็นรีสอร์ท นอกจากจะให้ผลดีกับคนในบ้านแล้ว บ้านที่อยู่รายล้อมก็พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย ความสวยงามของสวน ความร่มรื่นของต้นไม้ ใครอยู่ใกล้ก็ให้ ความรู้สึกดีทั้งนั้น

ลองนึกภาพกันดูว่า ถ้าบ้านทุกหลังเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับ เอาแค่ปลูกต้นไม้คนละต้นสองต้นในบ้านของตัวเอง แค่นี้ก็ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับสถานที่นั้นแล้ว

ต้นไม้ให้ออกซิเจน การจัดสวนปลูกต้นไม้ ก็คือ การสร้างปอดเอาไว้ในบ้าน นั่นเอง รีบทำบ้านให้เป็นรีสอร์ทกันเถอะครับ รับรองว่าสุขภาพกายและใจของคนในบ้านจะต้องดี อย่างแน่นอน