วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Soy Peptide มีประโยชน์ต่อสมอง

Soy Peptide หรือ เปปไทด์ถั่วเหลือง คือหนึ่งในสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ช่วยให้สมองและจิตใจได้คลายเครียดลงได้ชนิดที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็น สารอาหารมหัศจรรรย์ ที่ดีต่อสมองกันเลยทีเดียว ...
เปปไทด์ก็คือ โปรตีนที่ผ่านการย่อยด้วยเอนไซม์จนมีโมเลกุลขนาดเล็กนั่นเอง โปรตีนนั้นเป็นสารอาหารแหล่งเดียวที่ให้ธาตุไนโตรเจนซึ่งร่างกายจะนำมาสร้างเป็นสาร Bioactive ที่ใช้ควบคุมการทำงานต่างๆของร่างกาย นับตั้งแต่ระบบภูมิคุ้มกัน ฮีโมโกลบิน (ส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง) ฮอร์โมนบางชนิด และสารสื่อนำประสาท(Neurotransmitter)

ทั้งนี้สารอาหารประเภทโปรตีนนั้นประกอบขึ้นจากหน่วยที่เล็กที่สุดคือ กรดอะมิโนต่อกันเป็นสายยาวๆเรียกว่า พอลิเปปไทด์ (Polypeptide) ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารโปรตีนเข้าไปแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการย่อยด้วยเอนไซม์หรือน้ำย่อย จนโปรตีนมีขนาดโมเลกุลที่เล็กลงขนาดที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ผ่านทางลำไส้เล็ก

แต่ขบวนการดูดซึมที่ลำไส้เล็กนั้นไม่ได้มีแต่เพียงโปรตีนโมเลกุลที่เล็กที่สุดอย่างกรดอะมิโนเท่านั้นแต่ยังมีกรดอะมิโนที่เกาะตัวกันเป็นกลุ่มนั่นก็คือ เปปไทด์ที่ได้รับการดูดซึมด้วย

จากผลการวิจัยหลายฉบับ ชี้ให้เห็นว่าที่บริเวณลำไส้เล็กนั้น มีช่องทางพิเศษสำหรับให้ร่างกายสามารถดูดซึมเปปไทด์ได้โดยตรง เรียกว่า Peptide Transporter ซึ่งเป็นช่องทางที่แยกจากช่องทางสำหรับกรดอะมิโน และถ้าจำนวนของกรดอะมิโนที่เกาะมีขนาดค่อนข้างเล็ก เปปไทด์จะถูกดูดซึมเพียงครั้งละ 1 โมเลกุลต่อหนึ่งช่องทางเท่านั้น ขณะที่เปปไทด์จำนวนมากสามารถดูดซึมได้ในทันที

ดังนั้น Soy Peptide จึงสามารถถูกดูดซึมได้อย่างรวดเร็วและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อร่างกายมีความจำเป็นต้องใช้โปรตีนทดแทน เนื่องจากผ่านการย่อยมาแล้ว

ในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์ด้านอาหารได้เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถสกัดย่อย Soy Peptide ให้แก่ผู้บริโภคได้ซึ่งการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ชี้ชัดถึงคุณประโยชน์ด้านสุขภาพ โดยเฉพาะการส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

ได้มีการทดลองเกี่ยวกับการตอบโจทย์การคำนวณและการใช้ความจำ โดยกลุ่มแรกได้รับ Soy Peptide ส่วนอีกกลุ่มไม่ได้รับ จากผลการทดลองสรุปได้ว่า Soy Peptide มีคุณสมบัติในการลดความเครียด เพราะ Soy Peptide มีผลให้ระดับของฮีโมโกลบินที่มีออกซิเจนไหลเวียนในสมองส่วนหน้าสูงขึ้นทำให้สมองมีความสดชื่น

นอกจากนี้ยังมีรายงานผลการวิจัยจาก Nation Food Research Institute ประเทศญี่ปุ่นที่แสดงให้เห็นว่า การบริโภค Soy Peptide ในช่วงระหว่างวันสามารถช่วยผ่อนคลายความเครียด รวมถึงลดความเหนื่อยล้าของสมองจากการทำงานหรือเรียนหนังสือได้เช่นกัน

การดื่ม Soy Peptide ในช่วงเช้าสมองจะมีความตื่นตัวโดยรู้สึกตื่นพร้อมทีจะทำงานต่อไป ในขณะที่การได้รับ Soy Peptide ในช่วงบ่ายหรือค่ำ สมองจะเกิดความรู้สึกผ่อนคลายและช่วยให้ลดความรู้สึกอ่อนล้าของสมองได้.

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อาหารอิ่มนานและต้านอ้วน

ดอกเตอร์เดวิด คัมมิงส์ และคณะ แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ซีแอทเทิล สหรัฐฯ ทำการศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง 16 คน สุ่มให้กินเครื่องดื่ม 3 ชนิด ซึ่งมีสัดส่วนของคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ไม่เท่ากัน
กลุ่มตัวอย่าง จะได้รับการตรวจเลือดก่อนเริ่มการทดลอง และดูดเลือดไปตรวจทุกๆ 20 นาที ติดต่อกัน 6 ชั่วโมง เพื่อวัดระดับฮอร์โมน “เกรลอิน (ghrelin)” หรือฮอร์โมนฝ่ายหิว

ฮอร์โมนเกรลอินสร้างจากกระเพาะอาหาร ออกฤทธิ์กระตุ้นสมอง ทำให้เพิ่มความอยากอาหาร (appetite)

ผลการศึกษาพบว่า อาหารประเภทคาร์บ หรือคาร์โบไฮเดรตได้แก่ แป้งและน้ำตาลออกฤทธิ์กดฮอร์โมนฝ่ายหิวได้ชั่วคราว

หลังจากนั้นฮอร์โมนฝ่ายหิวจะเด้งกลับ (rebound) เพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับเดิม สรุปง่ายๆ คือ ยิ่งกินคาร์บ (แป้ง น้ำตาล) มาก ยิ่งหิวมาก

อาหารประเภทโปรตีนได้แก่ โปรตีนจากไข่ นม เนื้อ ถั่ว ออกฤทธิ์กดฮอร์โมนฝ่ายหิวได้มากที่สุด และนานที่สุด

ดังนั้นอาหารที่ช่วยให้อิ่มนาน และต้านอ้วนได้มากที่สุดน่าจะมีลักษณะดังต่อไปนี้

* มีโปรตีนสูงหน่อย (มีไข่ นม เนื้อ หรือถั่ว) เพื่อช่วยให้อิ่มได้มาก และอิ่มได้นาน
* มีไขมันชนิดดี โดยเฉพาะน้ำมันปลา หรือน้ำมันพืชที่ไม่ใช่กะทิ และน้ำมันปาล์มเล็กน้อย เพื่อช่วยให้การย่อยอาหารช้าลง และอิ่มนานขึ้น

ข้อควรระวังในการกินอาหารโปรตีนสูงหน่อยได้แก่

* ผู้ใหญ่ทั่วไปไม่ควรกินไข่แดงเกิน 2 ฟองต่อสัปดาห์ เนื่องจากมีโคเลสเตอรอลสูง ไข่ขาวกินมากหน่อยได้ เพราะไข่ขาวไม่มีโคเลสเตอรอล
* เด็กไม่ควรกินไข่แดงเกินวันละ 1 ฟอง
* นม ไขมันเต็มมีไขมันอิ่มตัวสูง ไขมันอิ่มตัวทำให้ตับสร้างโคเลสเตอรอลเพ่มขึ้น ควรเปลี่ยนเป็นนมไขมันต่ำ หรือนมไม่มีไขมัน ถ้าเป็นนมเติมวิตามินดี จะช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมได้ด้วย
* เนื้อ แดงไม่ติดมัน… ถ้ากินมากเกินสัปดาห์ละ 3 ฝ่ามือผู้ใหญ่ (ไม่รวมนิ้วมือ) อาจทำให้ได้รับไขมันสัตว์ที่ติดมากับเนื้อมากขึ้น ไขมันสัตว์มีไขมันอิ่มตัวสุง ทำให้ตับสร้างโคเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นได้
* เนื้อสัตว์ปีก เช่น เป็ด ไก่ ห่าน ฯลฯ ควรลอกหนังออกก่อนปรุงอาหาร เพื่อลดปริมาณไขมันอิ่มตัวที่มีมากในหนังสัตว์
* ควร เสริมโปรตีนจากพืช โดยเฉพาะโปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ แทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ประมาณครึ่งหนึ่ง เนื่องจากโปรตีนจากถั่วมีไขมันอิ่มตัวต่ำกว่า มีไขมันชนิดดีสูงกว่า และมีเส้นใย(ไฟเบอร์)ชนิดละลายน้ำ ซึ่งช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ทำให้อิ่มนานขึ้น
* ควรเปลี่ยน ข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง หรือเปลี่ยนขนมปังขาวเป็นขนมปังโฮลวีท(สีรำ) เนื่องจากข้าวกล้อง และขนมปังโฮลวีทมีโปรตีนสูงกว่าข้าวขาว และขนมปังขาว

เรียนเสนอให้ ท่านที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเดินรวมกันให้ได้อย่างน้อยวันละ 60 นาที ขึ้นลงบันไดตามโอกาส เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ และเพิ่มระดับการใช้กำลังงานทุกวัน


แบ่งปัน 

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

รังแคที่หนังศรีษะ

รังแคที่หนังศรีษะ รังแคมีลักษณะเป็นขุยขาวเล็กที่บริเวณหนังศีรษะ ทำให้มีอาการคัน และมองดูไม่สะอาดตา ยิ่งเกายิ่งคัน และจะมีขุยหลุดร่วงมากขึ้น สร้างความรำคาญ และบั่นทอนบุคลิกภาพเป็นอย่างมาก

แบ่งปัน 
บางครั้งสามารถรักษาให้หายได้ แต่มักจะกลับเป็นซ้ำได้อีก รังแคจะไม่มีการอักเสบบวมแดงทีบริเวณหนังศีรษะเลย เนื่องจากรังแคคือขุยบนเส้นผม บนหนังศีรษะ อาจมีลักษณะแห้งหรือมันก็ได้ เป็นความแปรปรวนของเซลล์หนังศีรษะที่แบ่งตัวมากขึ้นกว่าปกติ แล้วหลุดออกง่าย  และเร็วกว่าปกติ กลายเป็นขุยขนาดใหญ่ที่สามารถสังเกตได้
ปัญหารังแคเกิดขึ้นที่เซลล์ชั้นบนสุดของหนังศีรษะลอกตัวหลุดออก ตามปกติแล้วเซลล์หนังศีรษะของคนเรา ซึ่งเกิดใหม่จะค่อยๆ เลื่อนจากใต้ผิวหนังขึ้นมาจนถึงผิวชั้นบนสุด และหลุดออกไปในเวลา ประมาณ 28 วันโดยเฉลี่ย โดยเซลล์ที่หลุดออกจะเป็นชิ้นเล็กๆ ที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่ถ้ามีสาเหตุใดก็ตามที่ทำให้วงจรนี้ถูกเร่งให้เร็วขึ้น เช่น จาก 28 วัน เหลือแค่ 7-21 วัน โดยเซลล์ที่หลุดออกแทนที่จะเป็นชิ้นเล็ก กลับมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นขุยสีขาวหรือเทา และมองเห็นได้ชัด แถมยังจะมีอาการคันศีรษะร่วมด้วย แสดงว่ามีรังแคเกิดขึ้น หนังศีรษะมีเซลล์ที่ตายแล้วหลุดลอกอยู่ตลอดเวลา แต่คนที่มีรังแคนั้นเซลล์ผิวหนังจะหลุดลอกเร็วมาก อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ความเครียด ไปจนถึงต่อมน้ำมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป รวมทั้งผิวหนังอักเสบที่เรียกว่า ผื่นรังแค (seborrhoeic dermatitis)
รังแคเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมาก บางคนอาจมีรังแคมาก บางคนอาจมีรังแคน้อย หรือไม่มีเลยก็ได้ หนังศีรษะที่มีรังแคจะคัน และมีกลิ่นเหม็น จากสถิติพบว่ารังแคมักเกิดขึ้นตั้งแต่อายุก่อน 20 ปี โดยทั่วไปวัยรุ่นจะเริ่มมีรังแค และเมื่ออายุ 50 ปี จะสังเกตพบว่ารังแคเริ่มหายไป จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่าชาวคอเคเชียนประมาณครึ่งหนึ่งมีปัญหาเรื่องรังแค
สาเหตุ
  1. รังแคเกิดได้อย่างไรยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเชื้อราชนิดหนึ่ง และฮอร์โมนแอนโดรเจน มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการเกิดรังแค ภาวะที่ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่สบาย มีความเครียด รังแคอาจกำเริบขึ้นมาอีกได้
  2. เชื้อราที่เกี่ยวข้องกับการเกิดรังแคเป็นเชื้อราเซลล์เดียว หรือที่เรียกว่า 'เชื้อยีสต์' ชื่อวิทยาศาสตร์คือ malassezia หรือชื่อเดิมว่าpityrosporum เชื้อราพวกนี้อาศัยอยู่ที่หนังศีรษะ กินน้ำมันที่สร้างมาจากต่อมรากผมและต่อมไขมันเป็นอาหารโดยปกติไม่ก่อให้เกิดปัญหาแต่อย่างใด แต่บางครั้งพบว่าเชื้อกำเริบและเติบโตรวดเร็วผิดปกติ จะก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังศีรษะ ทำให้เซลล์มีการแบ่งตัวที่เร็วขึ้น และพบมีเซลล์ที่ตายแล้วอยู่บนหนังศีรษะเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดเป็นรังแคในที่สุด
  3. คนที่หนังศีรษะมันมากจึงมักเป็นรังแคง่าย มีหลักฐานบ่งชี้ว่ารังแคมักเกิดจากเชื้อราเซลล์เดียว หรือที่เรียกว่า 'เชื้อยีสต์' ชื่อ พิไทโรสโพรัม ออร์บิคูแลร์ (pityrosporum orbiculare) ซึ่งกินน้ำมันที่ผิวหนังเป็นอาหาร
  4. รังแคยังอาจเกิดจากการรบกวนต่อหนังศีรษะ ซึ่งอาจเป็นทางเคมีหรือกายภาพก็ได้ การรบกวนทางเคมี เช่น แชมพู น้ำยาดัดผม หรือน้ำยาย้อมผม ส่วนการรบกวนทางกายภาพ เช่น การเกา การถู เป็นต้น
  5. บางคนเชื่อว่า รังแคเกิดจากผิวหนังแห้ง ผิวหนังมันเกินไป การสระผมด้วยแชมพูบ่อยเกินไป การสระผมด้วยแชมพูน้อยเกินไป ภาวะโภชนาการไม่ดี ความเครียด หรือใช้ผลิตภัณฑ์ตกแต่งทรงผมมากเกินไป
อาการ
  1. ผิวหนังคัน และลอก ซึ่งเป็นได้ทั้งใบหน้า และอก รวมทั้งหนังศีรษะ
  2. รังแคทำให้มีอาการคัน และมองดูไม่สะอาดตา ยิ่งเกายิ่งคัน และจะมีขุยหลุดร่วงมากขึ้น สร้างความรำคาญ และบั่นทอนบุคลิกภาพเป็นอย่างมาก บางครั้งสามารถรักษาให้หายได้ แต่มักจะกลับเป็นซ้ำได้อีก
  3. โรคบางอย่างที่ก่อให้เกิดโรครังแคได้ เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคเชื้อราบนหนังศีรษะ โรคผิวหนังอักเสบ การแพ้สารเคมีบางชนิด เป็นต้น
  4. รังแคมีทั้งชนิดผมมัน และชนิดผมแห้ง อาจตรวจสอบได้ง่ายๆ ด้วยการก้มศีรษะลง วางกระดาษดำ หรือผ้าสีเข้มๆ ไว้ตรงหน้า แล้วหวีเอาฝุ่นผงต่างๆ จากเส้นผมออก ดูว่าฝุ่นผงที่หลุดมาจากเส้นผมมีลักษณะอย่างไร ถ้าเป็นผงเล็กๆ เหมือนแป้ง แสดงว่าเป็นปัญหารังแคผมแห้ง แต่ถ้าฝุ่นผงที่หลุดออกมามีลักษณะชิ้นใหญ่ เป็นก้อน และชื้น แสดงว่าเป็นปัญหารังแคผมมัน
  5. โดยทั่วไปรังแคจะไม่มีการอักเสบบวมแดงทีบริเวณหนังศีรษะเลย แต่ถ้ามีรังแคมาก ร่วมกับอาการคัน หรือผื่นแดงที่หนังศีรษะ อาจเป็นอาการของโรคผิวหนัวบางชนิด เช่น โรคผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์ม (seborrheic dermatitis) โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) หรือโรคแพ้สารเคมี หรือน้ำยาบางอย่าง
การวินิจฉัย
สามารถให้การวินิจฉัยได้ไม่ยาก ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่ามีโรคผิวหนังชนิดอื่นๆ เกิดขึ้นร่วมด้วยหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์
การรักษา
  1. ดูแลเอาใจใส่ผมด้วยการสระผมบ่อยๆ จะช่วยให้ดีขึ้นได้ พิจารณาใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของยาบางตัว เช่น เซเลเนี่ยม ซัลไฟด์ (selenium sulfide) , ซิงค์ ไพรีตั้น (zinc pirition) หรือ คีโตโคนาโซล (ketoconazole) เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ปัญหารังแคทุเลาเบาบางลงได้ โดยใช้สระผมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ไม่ควรใช้บ่อยเกินไป เนื่องจากมีส่วนผสมของตัวยาที่อาจทำให้ผมแห้งเป็นสีเหลืองน้ำตาลได้ ถ้ามีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์
  2. เวลาสระผมต้องทิ้งไว้อย่างน้อย 10 นาทีแล้วค่อยล้างออก เพื่อให้แชมพูออกฤทธิ์เต็มที่ ยิ่งเป็นรังแคมากก็ยิ่งต้องทิ้งไว้นาน ยีให้เป็นฟองทั่วศีรษะ แล้วใช้หมวกอาบน้ำคลุมไว้สัก 1 ชั่วโมงค่อยล้างงออก
  3. เลือกใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของซีลีเนียมซัลไฟด์ (selenium sulphide) ซิงค์ไพริไทออน (zinc pyrithione) หรือทาร์ (tar) สารสองอย่างแรกช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์หนังศีรษะ มีอยู่ในแชมพูขจัดรังแคสูตรอ่อนโยน เช่น เฮดแอนด์โชลเดอร์ส ส่วนแชมพูที่ผสมทาร์จะยับยั้งการเติบโตของเซลล์ แชมพูทั้งสองชนิดนี้ล้วนขจัดรังแคได้ดีกว่าแชมพูที่ผสมซัลเฟอร์ (sulphur) หรือกรดซาลิไซลิก (salicylic acid) ซึ่งแค่ทำให้หนังศีรษะหลุดลอกออกมา แล้วล้างออกไประหว่างการสระ
  4. ถ้าใช้แชมพูขจัดรังแคสูตรอ่อนโยนแล้วไม่ดีขึ้น ให้ใช้แชมพูผสมสารคีโตโคนาโซล (ketoconazole) เช่น ไนโซรัล คีโตโคนาโซลเป็นยาฆ่าเชื้อรา จะช่วยฆ่ายีสต์ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดรังแค
  5. ถ้าใช้แชมพูขจัดรังแคไปสักพักแล้วเริ่มกลับมามีรังแคอีก แสดงว่าหนังศีรษะาจเกิดอาการดื้อยา ลองเปลี่ยนไปใช้แชมพูที่ผสมสารขจัดรังแคชนิดอื่น ใช้ไปสัก 2-3 เดือนแล้วค่อยกลับมาใช้ยี่ห้อเดิม
แชมพูขจัดรังแคหรือ Antidandruff
สารที่เป็น Anti-dandruff นั้น ควรมีคุณสมบัติ 2 อย่าง คือ
  1. ลดการแบ่งตัวของเซลล์ที่หนังศีรษะ และต้านเชื้อแบคทีเรียด้วย ได้แก่ ซิงค์ไพริไทออน (zinc pyrithione หรือ ZPT) และ เซลิเนียมซัลไฟต์ (selenium sulfide)
  2. สามารถลดขุย (keratolytic) ขจัดเซลล์ชั้นที่ตายแล้วให้หลุดออกไป ได้แก่ รีซอร์ซินอล (resorcinol) ซัลเฟอร์ (sulfur) และกรดซาลิซิลิค (salicylic acid)
จากการทดลองพบว่า สารที่ได้รับการยืนยันว่าได้ผลในการขจัดรังแคและมีความปลอดภัย ได้แก่
  • 1-2% ZPT
  • 1% Selenium sulfide
  • 1-3% Salicylic acid
  • 2-5% Sulfur
เลือกใช้แชมพูขจัดรังแคอย่างไรดี
  1. ถ้ามีรังแคเพียงเล็กน้อย การใช้แชมพูธรรมดาๆ ก็สามารถช่วยได้แล้ว ปฏิบัติร่วมกับการดูแลเส้นผม และหนังศีรษะอย่างถูกต้อง เช่น ไม่เกา ไม่ขูดหนังศีรษะแรงเกินไป โดยต้องสระผมให้บ่อยพอควร โดยเฉพาะในระยะเริ่มแรก และมีอาการคัน
  2. ถ้ามีรังแคค่อนข้างมาก ควรเลือกใช้แชมพูที่ผสมตัวยาที่กล่าวไปแล้ว ที่นิยมใช้กันมาก คือ ZPT และ selenium sulfide เนื่องจากใช้ได้ผลดีกว่า salicylic acid และ sulfur ซึ่งใช้ได้ผลดีพอควร ถ้านำมาผสมกัน
  3. ZPT มีข้อดีกว่า selenium sulfide ที่มีข้อแทรกซ้อนน้อยกว่า ในแง่ของการเกิดพิษต่อตา หรือเยื่อบุตาอักเสบ
  4. selenium sulfide ยังมีกลิ่นไม่ค่อยดีนัก ทำให้บางคนไม่ชอบใช้ได้
สระผมอย่างไรให้ถูกวิธี
  1. การสระผมให้ถูกวิธีนั้น ควรสระผมเบาๆ โดยไม่เกาเพื่อไม่รบกวนหนังศีรษะ ไม่ว่าจะใช้แชมพูใดก็ตาม
  2. สำหรับ ZPT shampoo นั้นหลังจากขยี้ผมทั่วแล้ว ให้ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วค่อยล้างออก
  3. ถ้าเป็นรังแคเพียงเล็กน้อย คันไม่มาก สามารถใช้แชมพูธรรมดาสระผมทุกวัน เพื่อขจัดอาการคันให้หายไป ห้ามเกาแรงหรือหวีขูดหนังศีรษะเป็นอันขาด
  4. ถ้ามีรังแคปานกลาง คันไม่มาก ใช้ ZPT shampoo สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ก็ช่วยลดอาการคัน และปริมาณรังแคได้
  5. ถ้ามีรังแคค่อนข้างมาก และคันมาก ควรสระผมด้วย ZPT ทุกวัน
  6. การขจัดรังแคบนหนังศีรษะ ต้องอาศัยการดูแลผม และหนังศีรษะอย่างต่อเนื่อง โดยเลี่ยงการรบกวนต่อหนังศีรษะโดยเฉพาะการเกา การสระผมให้ถี่พอ และควรสระเมื่อมีอาการคัน ไม่ปล่อยทิ้งไว้โดยใช้แชมพูที่เหมาะสม แต่ถ้าปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล หรือมีปัญหาว่าอาจเป็นโรคอื่นของหนังศีรษะ ควรไปปรึกษาแพทย์

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

การคุมกำเนิด

การคุมกำเนิดมีวิธีการอยู่หลายวิธีที่สามารถใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ สิ่งสำคัญคือต้องค้นหาวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด แพทย์ ผู้ให้คำแนะนำด้านสุขภาพ นางผดุงครรภ์และ
พยาบาลสามารถให้คำแนะนำด้านการคุมกำเนิดกับคุณได้ โดยทุกคนที่ทำงานในสำนักงานแพทย์ คลินิกบริการด้านสุขภาพของรัฐ หรือโรงพยาบาลมีหน้าที่ในการเก็บรักษาความลับ
1.ถุงยาง
2.ถุงยางอนามัยสตรี
3.ยาฆ่าอสุจิ
4.ยาคุมกำเนิดที่ไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน
5.ยาเม็ดคุมกำเนิด
6.แหวนใส่ช่องคลอด
7.แผ่นคุมกำเนิด
8.ยาคุมแบบโปรเจสโตเจนอย่างเดียว
9.ห่วงคุมกำเนิดประเภท Hormone coils
10.ยาฝังคุมกำเนิด
11.ห่วงคุมกำเนิดประเภท Copper coils
12.การทำหมัน
13.การคุมกำเนิดฉุกเฉิน
14.วิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือไม่ได้

ถุงยาง
ถุงยางคือปลอกยางเนื้อบางที่สามารถม้วนออกเพื่อครอบองคชาตขณะแข็งตัว ควรสวมถุงยางตลอดช่วงเวลาการร่วมเพศ ความน่าเชื่อถือของถุงยางจะมีมากขึ้น หากใช้ร่วมกับโฟมหรือครีมฆ่าเชื้ออสุจิ ถุงยางยังสามารถใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคเอดส์ ถุงยางมีจำหน่ายทั่วไป ทั้งในร้านอาหาร ร้านขายยา ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ ถุงยางมีความน่าเชื่อถือสูงหากใช้ได้ถูกต้อง

ถุงยางอนามัยสตรี
ถุงยางอนามัยสตรีคือปลอกยางที่มีความยืดหยุ่นสำหรับสอดเข้าในช่องคลอดของผู้หญิงเพื่อปกปิดปากมดลูก ถุงยางอนามัยสตรีมีจำหน่ายในขนาดต่าง ๆ โดยแพทย์จะต้องเป็นผู้สวมใส่ให้ ควรใช้ถุงยางอนามัยสตรีร่วมกับครีมฆ่าเชื้ออสุจิ ถุงยางอนามัยสตรีสามารถสวมใส่ในตอนใดก็ได้ก่อนการร่วมเพศและควรสวมทิ้งไว้เป็นเวลาอย่างน้อยหกชั่วโมงหลังการใส่ ผู้หญิงส่วนใหญ่สามารถใส่ถุงยางอนามัยสตรีได้ ถุงยางอนามัยสตรีและครีมฆ่าเชื้ออสุจิเป็นวิธีการในการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้หากสวมใส่ลงในช่องคลอดอย่างถูกต้อง

ยาฆ่าอสุจิ
ยาฆ่าอสุจิใช้ร่วมกับถุงยางอนามัยหรือถุงยางอนามัยสตรี ทั้งนี้ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับการคุมกำเนิดหากใช้เพียงอย่างเดียว ผลิตภัณฑ์นี้ทำขึ้นเป็นครีม โฟม เยลลี่หรือยาสอด ยาฆ่าเชื้ออสุจิสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาโดยไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ยาคุมกำเนิดที่ไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน
ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบไม่มีเอสโตรเจนมีอยู่เพียงประเภทเดียวในตลาดนอร์เวย์ ยาเม็ดนี้ป้องกันการตกไข่ของผู้หญิง(เมื่อมีการผลิตไข่) เพื่อให้ยาเกิดประสิทธิภาพ จะต้องใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน ยานี้ยังสามารถใช้กับหญิงให้นมบุตรได้ ยาตัวนี้มีความเชื่อถือได้ 100% หากใช้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์เพื่อหาซื้อยาเม็ดคุมกำเนิดแบบไม่มีเอสโตรเจน

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

โรคปลาหมอสี(Disease) มีอยู่ 2-3 ชนิดด้วยกันคือ

โรคจุดขาว พบในช่วงหน้าหนาว หรือช่วงที่ฝนตกหนักๆ และมีสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง อาการก็ คือซึมไม่กินอาหารและจะมีคล้ายๆฝึ่นสีขาวๆเกาะ ซึ่งสาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เกิดในน้ำและ ยารักษาโรคนี้ก็ใช้ฟาราโพกรีน รักษาซึ่งจะหาซื้อได้ตามร้านขายปลาทั่วไปใน
ยาตัวนี้ภายใน 24 ชม. ปลาจะมีอาการดีขึ้นและช่วง 48 ชม. ปลาก็จัหายเป็นปกติ การใช้ยาตัวนี้นั้น
เมื่อใช้ยาควรจะต้องปิดไฟตู้ทุกครั้งเพราะยาตัวนี้จะเสื่อมฤทธิ์เมื่อถูกแสง

โรคที่เกิดจากเชื้อรา ซึ่งสาเหตุมาจากปลากัดกันจนเป็นแผลโดยที่เจ้าของไม่ทันสังเกตุเห็นก็จะ
ทำให้เกิดเชื้อราที่มีอยู่ในน้ำนั้นอยู่แล้ว ยาที่ใช้ก็พวกยาเขียว เพราะสามารถกำจัดพวกเชื้อราทั้ง
หลายได้

โรคที่เกิดจากกระเพาะลำไส้อักเสบ เพราะกินอาหารที่มีเชื้อแบคทีเรีย อาหารที่ไม่สดจึงทำให้
ระบบการย่อย ผิดพลาดจนเกิดอาหารตกค้าง ซึ่งโรคนี้ถ้าเป็นมากก็จะรักษาไม่ได้นอกจากนี้
โรคอื่นๆก็ไม่ค่อยมี เนื่องจากปลาหมอสีเป็นปลาที่มีโรคน้อยมาก

1. โรคที่เกิดจากพยาธิภายนอก
โดยเฉพาะจากเชื้อโปรโตซัว เช่น เชื้อ Ichth-popht hirius multifilis ที่ทำให้เกิดโรคจุดขาว
เชื้อ Ocdinium ทำให้เกิดอาการมีเมือกตามตัวและเหงือก เชื้อ Trichodina หรือโรคที่เกิดจาก
เห็บระฆัง ซึ่งทำให้ปลามีอาการแสดงความรำคาญโดยการถูตัวกับตู้ปลาหรือซอกหิน จะมีเม็ดกลม
แบนเกาะติดอยู่ทั่วไป และบริเวณที่เห็บเกาะจะแดงช้ำโรคเห็บหนอนสมอโรคเมือกตามตัวและ
เหงือกอักเสบนอกจากนี้ยังเกิดจากพยาธิชนิดอื่นๆ เช่น โรคที่เกิดจากปลิงใส(Dactylogyrus
และ Cyrodaclrus) ทำให้ปลาหายใจลำบากต้องหายใจถี่สังเกตุบริเวณกระพุ้งแก้มเปิด
โรคจุดขาว โดยตามลำตัว และครีบของปลาจะมีจุดขาวเกาะอยู่ เกิดจากอุณหภูมิของน้ำเย็น

ในการตรวจรัักษาปลาควรนำปลาไปให้สัตว์แพทย์ตรวจดูก่อนเพื่อวินิจฉัยโรค ส่วนปลาที่ซื้อ
มาใหม่ ควรทำการกำจักพยาธิภายนอก โดยการใช้เกลือแกง 1 เปอร์เซ็น แช่นาน 12-24
ชัวโมง,ฟอร์มาลีนต่อความเข้มข้น 25 พีพีเอ็ม (25 c.c. ต่อน้ำ 100ลิตร) แช่นาน 24 ชม. หรือใช้เมททีลีน บลูในอัตรา 0.4-0.8 ซี.ซี. ต่อน้ำ 1 ลิตร แช่ไว้ 24 ชม. หรือแช่ น้ำที่มี
เกลือแกง เข้มข้น 1% แช่นาน 12-24 ชม. ในกรณีที่เกิดโรคจุดขาวซึ่งมักเกิดในฤดูหนาว
ฉะนั้นควรเพิ่มอุณหภูมิโดยใช้ Heater โดยใช้เพิ่มอุณหภูมิชั่วโมงละ 1 องศาเซลเซียส และ
ให้คงที่ที่ 30 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 10 วันจะสามารถรักษาโรคพยาธิดังกล่าวได้ ส่วนการ
ป้องกันก่อนที่จะนำปลาใหม่เข้า่ตู้ ควรนำปลากักโรคก่อน โดยใช้ยาข้างต้นแช่รวมกับอาหารสด
ที่จะนำมาให้ปลากิน

2. โรคที่เกิดจากเชื้อรา
เชื้อราที่พบได้บ่อย คือ Sapnolegnia ซึ่งจะพบเป็นขุยตามบริเวณขอบแผลหรือตามตัวรวมทั้งครีบ
เชื้อรานี้ส่วนใหญ่ เกิดมาจากการหมักหมมของเสียในตู้หรือบ่อ การเปลี่ยนถ่ายน้ำประจำจึงเป็นสิ่งที่
จำเป็นอย่างยิ่ง ในการจะฆ่าเชื้อโรคให้ใช้มาลาไคท์กรีนอัตราความเข้มข้น 0.1 มิลลิลิตร/ลิตร
แช่นาน 24 ชม. ก็จะช่วยลดปัญหาลงได้ ส่วนการป้องกันต้องดูแลสภาพในตู้ไม่ให้สกปรกหรือ
เกิดความหมักหมมของของเสีย และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ

3. โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
เชื้อชนิดนี้เป็นเชื้อสำคัญของการเกิดโรคและ " ทำให้ปลาตาย" คือ เชื้อแอร์โรโมแนส ไฮโดรฟิกล่า
บางครั้งอาจพบเชื้อ ไมโครแบคทีเรีย ทำให้เกิดโรคคล้ายวัณโรคในปลา เชื้อจะเพิ่มขึ้นๆอยู่กับ

- อุณหภูมิ (อุณหภูมิสูงเชื้อเติบโตดีกว่าอุณหภูมิต่ำ)
- ความเป็นกรดด่างของน้ำ (pH มากกว่า 7 เชื้อเติบโตได้ดีกว่าค่า pH ต่ำ)
โดยทั่วไปแล้วปลาหมอสีจะติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย เมื่อปลาอยู่ในสภาพเครียด เช่น
- คุณภาพน้ำไม่เหมาะสม
- ปริมาณปลาในตู้มากเกินไป

การรักษาควรทำอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นปลาแสดงอาการผิดปรกติ โดยการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไวต่อเชื้อ
ผสมอาหารให้ปลากิน การใช้ยาปฏิชีวนะที่ดีควรใช้ครั้งเดียวแล้วเลิก เมื่อเห็นปลามีอาการดีขึ้นแล้ว
เพราะ ถ้าใช้ต่อ อาจจะเกิดอาการดื้อยาได้ การรักษาโดยใช้ยาฟารากรีนผสมในน้ำแล้วปิดไฟตู้
(เพราะยามีปฏิกิริยากับแสงสว่าง และยาอาจจะเสื่อมสภาพได้ ถ้าหากถูกแสง) ทิ้งไว้ประมาณ
24-48 ชม. หรือนำปลาไปพบสัตว์แพทย์ตรวจก่อนการใช้ยาปฏิชีวนะ เนื่องจากยาปฏิชีวนะ
มีหลายชนิดและป้องกันการดื้อยา การให้ยาปฏิชีวนะทำได้โดยผสมกับอาหารให้ปลากินหรือใส่
ลงไปในน้ำ

ส่วนการป้องกันทำได้โดย:
- รักษาอุณหภูมิของน้ำให้คงที่ (เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิสูง)
- ความเป็นกรดด่างของน้ำ (ควรมีค่า pH ต่ำ)
- การให้อาหารโดยปริมาณที่พอเหมาะ
- ไม่ควรให้ปริมาณปลาในตู้มากจนเกินไป เพราะปลาจะกัดกัน และทำให้เกิดบาดแผลซึ่งเสี่ยง
ที่จะเกิดโรค

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

ออกแบบบ้านอย่างไร...อยู่แล้วมีความสุข

คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า “การตกแต่งภายใน” คือการพา Interior Designer (มัณฑนากร) มาเลือกซื้อของเข้าบ้าน จัดวางเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน หรือออกแบบเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน (Built in Furniture)
แต่จริงๆ แล้วการตกแต่งภายในมีความหมายครอบคลุมถึงการออกแบบและการตกแต่งบ้านที่ต้องคำนึงถึงฟังก์ชั่นและการใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัยว่า...ทำอย่างไรให้มีความสุขในบ้านหลังนี้?

โดยเน้นหลักของการจัดวางตำแหน่งพื้นที่ของห้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องรับแขก ห้องทานอาหาร ตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ การเลือกใช้สี การจัดแสงไฟ การเลือกใช้วัสดุปิดผิวต่างๆ รวมถึงการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ด้วย สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งช่วยให้บ้านของคุณมีความน่าอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น และเป็นสิ่งที่จะแสดงถึงสไตล์ หรือรสนิยมของเจ้าของบ้านนั่นเอง

เรามักจะได้พบได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ว่า บ้านที่ไม่ได้รับการออกแบบตกแต่งที่ถูกต้อง มักจะมีเหตุการณ์แปลกประหลาดอยู่ในบ้านนั้น เช่น พื้นที่ระหว่างเสาที่ไม่สามารถวางตู้ได้ ห้องครัวที่ยากต่อการใช้สอย แสงในห้องที่ไม่เพียงพอ โต๊ะกินข้าวที่สมาชิกในบ้านไม่สามารถนั่งพร้อมกันได้ หรือแม้กระทั่งห้องรับแขกที่เหมือนจะบอกแขกผู้มาเยือนว่าเมื่อไหร่จะกลับบ้านซักที เป็นต้น

“สิ่งเหล่านี้” มักจะเป็นสิ่งที่เราไม่เคยต้องการ แต่มันพาลจะเข้ามาอยู่ในบ้านกับเราซะงั้น!!!

แต่คุณไม่ต้องกังวลใจไป เพราะเมื่อคุณเลือกที่จะใช้มัณฑนากรมาเป็นผู้รังสรรค์ความคิดฝันในไอเดียของคุณให้กลายเป็นความจริง การออกแบบตกแต่งภายในก็จะสามารถปรับเปลี่ยนและจัดพื้นที่ บรรยากาศ ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของบ้านคุณได้อย่างสวยงามและลงตัว

อย่างเช่น ทิศทางของแสงแดด ทิศทางของลม การจัดบรรยากาศของห้องต่างๆ ให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของบ้านได้ นอกจากความสะดวกสบายแล้ว ยังต้องสวยงามผสมผสานกับศิลปะ ฟังก์ชั่นที่ดี ฟอร์มก็ต้องดีตามด้วยนะครับ

อย่างเรื่องการเลือกใช้วัสดุปิดผิวที่ในท้องตลาดมีมากมายหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็เหมาะกับงานในแต่ละสไตล์ เช่น กระเบื้อง ก็มีแบบหลายสิบแบบให้เลือกสรร ทั้งกระเบื้องธรรมชาติ กระเบื้องมัน กระเบื้องเงา กระเบื้องแกรนิตโต้ กระจกก็มีเป็นสิบๆ ชนิด ไม่ว่าจะเป็นกระจกลามิเนท กระจกฝ้า กระจกใส กระจกเงา กระจกลายผ้า

นี่ยังไม่นับวัสดุอีกเป็นหลายสิบชนิดเช่นกัน ซึ่งเราสามารถนำเอาวัสดุต่างๆ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ จัดให้สวยงาม เกิดเป็นรูปแบบที่ลงตัวและเกิดประโยชน์ด้วย อย่างห้องเล็กๆ อาจจะใช้กระจกเงาเข้ามาตกแต่งผนัง แล้วอาศัยแสงไฟช่วยซักเล็กน้อย ก็สามารถทำให้ห้องดูกว้าง น่าอยู่ เป็นต้น

ความหลากหลายของวัสดุ บวกกับความชอบของเจ้าของบ้านแบบใหม่ๆ (แถวบ้านเรียก “แนว”) จึงก่อให้เกิดรูปแบบสไตล์การออกแบบตกแต่งภายในที่หลากหลาย สไตล์ใคร สไตล์มัน เกิดเป็นความยูนีคขึ้น เป็นบ้านหลังเดียวในโลก ไม่มีใครเหมือน และไม่มีเหมือนใคร

สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ว่าหากวันนี้คุณกำลังจะเริ่มการออกแบบตกแต่งภายในของบ้านในฝันหรือเรือนหอรักของคุณกับใครสักคน การตกแต่งภายในนั้นจะทำให้ชีวิตของคุณมีความสุขกับบ้านแสนรักหลังนี้ได้ โดยมัณฑนากรจะขัดเกลาจากการนำเอาความคิด ความชอบ บวกลักษณะนิสัยส่วนตัวของเจ้าของบ้าน มาคลุกเคล้ากับศิลปะและทักษะของผู้ออกแบบเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งด้านประโยชน์ใช้สอยและความสวยงามในสไตล์ที่เป็นคุณนั่นเองครับ


แบ่งปัน 

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

3 ปัจจัยในการแต่งบ้านให้เป็นรีสอร์ท

การจัดสภาพแวดล้อมรอบๆ บ้าน ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตกแต่งบ้าน โดยเฉพาะบ้านที่อยู่ในเมืองใหญ่ห่างไกลจากธรรมชาติ หลักฮวงจุ้ยสอนว่า บ้านที่ดีอยู่แล้วสบาย จะ ต้องเป็นบ้านที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติ
ความหมายของคำว่า "ธรรมชาติ" ภาพที่นึกถึงก็คือ สภาพที่เป็นป่าเขาลำเนาไพร มีธารน้ำไหลรินให้ความรู้สึกที่เย็นสบาย ลักษณะธรรมชาติแบบนี้ไม่มีสิทธิ์หาได้ในเมือง ใหญ่ที่เต็มไปด้วยบ้านที่แออัดสร้างติดๆ กัน ประเภทหลังบ้านชนหลังบ้าน เพราะฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างสภาพแวดล้อมของธรรมชาติขึ้นมาเองภายในบ้าน

ปัจจุบันการตกแต่ง การจัดสวนภายในบ้าน จึงเข้ามามีบทบาทอย่างมาก เพราะคนเราเริ่มตระหนักแล้วว่า ธรรมชาติมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิต หลังจากที่ ธรรมชาติถูกทำลายไปจนเกือบจะเยียวยาไม่ได้อยู่แล้ว

"แต่งบ้านอย่างไร จึงจะสอดคล้องกับหลักของธรรมชาติล่ะ"

ถ้าจะพูดแบบเข้าใจง่ายๆ และเห็นภาพ ก็คือ แต่งบ้านให้เป็นรีสอร์ทไงครับ เคยสังเกตกันไหมครับว่า เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปพักที่รีสอร์ทสวยๆ เราจะรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ ได้เห็นสวนสวยๆ น้ำพุ น้ำตก หรือสระน้ำกว้างๆ ให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

"การทำบ้านให้เป็นรีสอร์ท คนในบ้านจะได้พักผ่อนได้ทุกวันใช่ไหมครับ"

ใช่แล้ว นั่นเป็นคอนเซ็ปท์ ในการแต่งบ้านล่ะ องค์ประกอบในการแต่งบ้านให้เป็นรีสอร์ทนั้น จะมีหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของบ้าน รูปแบบของสวน แต่ถ้ามอง กันที่ภาพรวม บ้านที่เป็นรีสอร์ทได้นั้น ก็คือ บ้านที่แวดล้อมไปด้วยสวน นั่นเอง

เมืองไทยเป็นเมืองร้อน การแต่งบ้านจึงเน้นไปที่ความเย็น การจัดสภาพแวดล้อมแบบรีสอร์ท ถือเป็นการตอบโจทย์นี้ได้อย่างตรงจุด สิ่งที่จะเอื้อประโยชน์ที่จะทำให้บ้านเย็น จะมีอยู่ 3 ปัจจัยใหญ่ๆ คือ ลม น้ำ และต้นไม้

ลม ทำให้อากาศมีการไหลเวียน ไล่กลิ่นอับที่อยู่ในบ้าน นอกจากนี้ยังนำอากาศบริสุทธิ์ (ออกซิเจน) จากต้นไม้ที่อยู่ใกล้มาให้คนรอบข้างอีกด้วย

น้ำ ให้ความเย็นสดชื่น น้ำที่เคลื่อนไหวจะให้ความรู้สึกที่มีชีวิตชีวา เบิกบานใจ เมื่อได้มองเห็น เสียงน้ำให้ความเพลิดเพลิน และผ่อนคลายยามได้ยิน

ต้นไม้ ให้ร่มเงาและปกป้องมลภาวะจากเสียง ฝุ่นละออง และฝน นอกจากนี้ยังให้ออกซิเจนที่บริสุทธิ์ ทำให้อากาศบริเวณนั้นดีกว่าบริเวณที่ไม่มีต้นไม้

เพราะฉะนั้น องค์ประกอบในการจัดสภาพแวดล้อมให้เป็นรีสอร์ท จึงต้องมีทั้ง 3 ปัจจัยนี้ ส่วนการจัดจะทำได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ของบ้านเป็นสำคัญ ประโยชน์ ของการทำบ้านให้เป็นรีสอร์ท นอกจากจะให้ผลดีกับคนในบ้านแล้ว บ้านที่อยู่รายล้อมก็พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย ความสวยงามของสวน ความร่มรื่นของต้นไม้ ใครอยู่ใกล้ก็ให้ ความรู้สึกดีทั้งนั้น

ลองนึกภาพกันดูว่า ถ้าบ้านทุกหลังเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับ เอาแค่ปลูกต้นไม้คนละต้นสองต้นในบ้านของตัวเอง แค่นี้ก็ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับสถานที่นั้นแล้ว

ต้นไม้ให้ออกซิเจน การจัดสวนปลูกต้นไม้ ก็คือ การสร้างปอดเอาไว้ในบ้าน นั่นเอง รีบทำบ้านให้เป็นรีสอร์ทกันเถอะครับ รับรองว่าสุขภาพกายและใจของคนในบ้านจะต้องดี อย่างแน่นอน